ททท. จับมือ รฟท. ร่วมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวในการจัดเดินรถไฟขบวนทดลองเดินรถเสมือนจริงเตรียมเปิดเส้นทางรถไฟเวียงจันทน์ สปป. ลาว – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) ในวันที่ 19 กรกฎาคมนี้ คาดหนุนนักท่องเที่ยวจาก สปป.ลาวเข้าไทยทะลุเป้าหมายสู่ 1 ล้านคน
วันนี้ (14 กรกฎาคม 2567) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) ที่เดินทางมากับขบวนรถไฟทดลองเดินรถเสมือนจริงบนเส้นทางรถไฟส่วนต่อขยายระหว่างสถานี เวียงจันทน์(คำสะหวาด) สปป. ลาว – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) กรุงเทพฯ สอดรับกลยุทธ์ Hub of ASEAN ตามนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ส่งเสริมการเชื่อมโยงการเดินทางของประเทศอาเซียน ASEAN’s Connectivity พร้อมเชื่อมต่อทางเศรษฐกิจ กระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยว และกระชับความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมของประเทศไทยและสปป.ลาวให้แน่นแฟ้น
นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการ ททท. กล่าวว่า การเปิดเส้นทางเดินรถไฟส่วนต่อขยายจากสถานีคำสะหวาด เวียงจันทน์- สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ กรุงเทพฯ ของการรถไฟแห่งประเทศไทยสอดคล้องกับความพยายามเชิงกลยุทธ์ของ ททท. ในการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Hub of ASEAN ตามนโยบาย IGNITE Thailand’s Tourism ของรัฐบาล ซึ่งจะเสริมความแข็งแกร่งในการเชื่อมโยงการเดินทางภายในภูมิภาคอาเซียน และช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทางให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางจากสปป.ลาวให้สามารถเข้ามาประเทศไทยโดยรถไฟได้อย่างไร้รอยต่อ โดยการเปิดเดินรถในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการเยือนสปป.ลาวของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ซึ่งได้ร่วมกับนายสอนไซ สีพันดอน นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว เป็นประธานในพิธีเปิดสถานีรถไฟเวียงจันทน์ (คำสะหวาด) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2566 ซึ่งเป็นโครงการภายใต้ความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้งสองประเทศ ผ่านสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (สพพ.) ถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือทางด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศไทยและสปป.ลาว รวมทั้งเป็นปัจจัยในการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยในวันนี้ ททท. ได้ร่วมกับ รฟท. จัดกิจกรรมทดลองเดินรถเสมือนจริงบนเส้นทางรถไฟส่วนต่อขยายระหว่างสถานีคำสะหวาด เวียงจันทน์ สปป. ลาว – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) กรุงเทพฯ พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวที่เดินทางมากับขบวนรถไฟ ซึ่ง ททท. มุ่งหวังว่า การเปิดบริการเส้นทางเดินรถอย่างเป็นทางการในวันที่ 19 กรกฎาคม 2567 นี้ จะเป็นปัจจัยส่งเสริมให้ประเทศไทยยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาว และผลักดันการเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวให้ถึง 1 ล้านคนในอนาคตอันใกล้
พร้อมกันนี้ ททท. ได้มอบพวงมาลัยและของที่ระลึกต้อนรับนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวที่เดินทางมากับขบวนรถเร็วที่ 134 จากสถานีคำสะหวาด เวียงจันทน์ สปป. ลาวถึงสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) ในวันที่ 14 กรกฎาคม 2567 อย่างอบอุ่น โดยการเปิดเส้นทางเดินรถไฟตั้งแต่วันที่ 19 กรกฎาคม เป็นต้นไป รฟท. จะให้บริการด้วยขบวนรถเร็วที่ 133 และ 134 เส้นทางเดินรถไป-กลับ ระหว่างสถานีคำสะหวาด เวียงจันทน์ – สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (บางซื่อ) กรุงเทพฯ จำนวน 2 ขบวน ประกอบด้วยรถธรรมดา ชั้น 3 (พัดลม) 152 ที่ รถนั่งปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 64 ที่นั่ง และรถนั่งและนอนปรับอากาศ ชั้น 2 จำนวน 30 ที่นั่ง และขบวนรถธรรมดาที่ 147 และ 148 เส้นทางเดินรถไป-กลับสถานีคำสะหวาด เวียงจันทน์ – สถานีอุดรธานี จำนวน 2 ขบวน รวม 4 ขบวนต่อวัน ซึ่งจะช่วยให้ผู้ที่เดินทางจากสปป.ลาวสามารถเดินทางเข้าสู่ประเทศไทยได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น จากเดิมที่ต้องเดินทางจากสถานีรถไฟท่านาแล้ง สปป.ลาว และโดยสารรถไฟข้ามแดนมายังจังหวัดหนองคายเพื่อเปลี่ยนขบวนรถในการเดินทางสู่กรุงเทพฯ หรือจุดหมายปลายทางอื่น ๆ รวมถึงยังช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวชายแดนและกระตุ้นเศรษฐกิจอีกด้วย
โดยในช่วงที่ผ่านมา ปัจจัยนานัปปการได้เกื้อหนุนให้ประชาชนชาวลาวเดินทางมายังประเทศไทยได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งการยกเลิกการกรอกแบบ ตม. 6 ตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน ถึง 15 ตุลาคม 2567 ที่ด่านชายแดนสำคัญ เช่น หนองคาย มุกดาหาร และเชียงราย นอกจากนี้ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ เช่น ตัวเลือกของสินค้าไทยที่หลากหลายในราคาที่จับต้องได้ รวมถึงบริการที่มีคุณภาพในประเทศไทย ล้วนเป็นแรงส่งเสริมการท่องเที่ยวและการค้าข้ามพรมแดน กระตุ้นให้เกิดการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยว ทำงาน ชอปปิง ปรึกษาทางการแพทย์ และพบปะสังสรรค์ในประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวลาวเพิ่มมากขึ้น
ทั้งนี้ ในปี 2567 ประเทศไทยได้ตั้งเป้าดึงดูดนักท่องเที่ยวจากสปป.ลาวจำนวน 977,000 คน โดยเส้นทางรถไฟสายใหม่นี้จะช่วยให้ไทยบรรลุเป้าหมายดังกล่าว และสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวมากกว่า 36,960 ล้านบาท